ถือว่ากลายเป็นเฟรนไซส์ที่ต้องขอบอกว่ามีความสนุกเพิ่มขึ้นแทบทุกภาคจริงๆ สำหรับ Fast & Furious ที่ภาคแรกๆนั่นก็เป็นแข่งรถกันดีๆอยู่หรอก จนกระทั่งมาอยู่ในมือของผู้กำกับ จัสติน หลิน ที่คิดจะแหวกกฏการแข่งรถ จนกลายเป็นหนังโจรกรรมอภิมหาความมันส์อันยิ่งใหญ่ จนกวาดรายได้ และมีแฟนๆเพิ่มขึ้นในทุกๆภาค โดยในตอนนี้ก็ดำเนินมาถึงภาคที่ 6 กันเรียบร้อย
กับเรื่องราว นับตั้งแต่การปล้นที่ริโอของดอม (ดีเซล) และไบรอัน (วอล์คเกอร์) ได้ทลายอาณาจักรของราชายาเสพติดและพวกเขาก็จากมาพร้อมกับเงิน 100 ล้านเหรียญ ตัวเอกของเราต่างก็กระจัดกระจายกันไปทั่วโลก แต่การที่พวกเขาไม่สามารถกลับบ้านเกิดและต้องใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ เหมือนโจรร้าย ในขณะเดียวกัน ฮ็อบส์ (จอห์นสัน) ก็กำลังสืบร่องรอยขององค์กรนักซิ่งรับจ้างฝีมือพระกาฬที่ฝากผลงานอาชญากรรม ไว้ใน 12 ประเทศ โดยผู้อยู่เบื้องหลังองค์กรนี้ (อีวานส์) ได้รับความช่วยเหลือจากมือขวาไร้ปรานี ที่ถูกเปิดเผยว่าคือ เล็ตตี้ (โรดริเกซ) หญิงคนรักที่ดอมคิดว่าเสียชีวิตไปแล้ว หนทางเดียวที่จะหยุดยั้งพวกเขาได้คือการเอาชนะพวกเขาในการซิ่ง ฮ็อบส์จึงขอให้ดอมรวมทีมนักซิ่งของเขาในลอนดอน โดยค่าตอบแทนเป็นการอภัยโทษให้กับพวกเขาทั้งหมดเพื่อที่จะกลับคืนสู่บ้านเกิด
โดยในภาคนี้ก็ยังคงกำกับการแสดงโดย จัสติน หลิน จากภาค 3-5 ที่น่าเสียดายว่าภาคนี้เป็นภาคสุดท้ายของผู้กำกับคนนี้ซะแล้ว เนื่องจากเขาอยากจะหันไปทำอะไรใหม่ๆบ้าง (โดยภาค 7 ได้ส่งต่อให้ผู้กำกับ เจมส์ วาน จาก Insidious) ซึ่งก็ต้องขอยอมรับเลยว่า การทิ้งทวนของผู้กำกับ จัสติน หลิน ในภาค 6 นั่นออกมาไม่ธรรมดาจริงๆ ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครยังคิดว่า Fast & Furious เป็นหนังแข่งรถอยู่ไหม เพราะถ้าเกิดคุณยังคิดอย่างนั้นอยู่นั่น ก็คงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่กันได้แล้ว เพราะตอนนี้เฟรนไซส์หนังเรื่องนี้มันได้กลายเป็นหนังแนวไล่ล่า ล้างแค้น และ ชิงไหวชิงพริบ กันแบบเต็มตัวไปเรียบร้อย โดยยังมีการยึดคอนเซปต์หลักเดิมๆจากภาคแรกๆอยู่แค่การมี รถสวย และ หญิงเซ็กซี่ เท่านั้น
ซึ่งถ้าหากภาคต่อเรื่องไหน ที่สร้างภาคต่อมาแล้วไปบิดความตั้งใจ หรือ เสน่ห์ ของภาคแรกๆออกหมด คงจะโดนด่ายับ แต่ดูเหมือนมันจะไม่ใช่กับ Fast & Furious ซะทีเดียว เพราะเห็นได้จากการที่ภาค 5 ได้กลายเป็นหนังโจรกรรม ก็ดูเหมือนจะได้เสียงตอบรับดีกว่าการกลับไปแข่งรถแบบภาคแรกๆเสียอีก ซึ่งในภาค 6 ก็เช่นเดียวกัน กับการที่ผู้กำกับยังคงยึดหลักในคอนเซปต์เดิมตัวเองไม่มีเปลี่ยน นั่นคือ ใส่ฉากแอ็คชั่นสุดโม้ ที่พวกเราไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าใครจะกล้าคิดทำฉากแบบนี้ในโลกภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็น การกระโดดออกจากรถความเร็วสูงเพื่อที่จะรับตัวอีกคน หรือแม้แต่ใช้รถลากเครื่องบิน ที่คนดูรู้ทั้งรู้ว่าภาพที่เราเห็นอยู่ตรงหน้าเหล่านั้นสุดแสนจะโม้ และมีแต่ความเป็นไปไม่ได้ แต่ผู้กำกับนั่นก็สามารถทำให้เราสนุกไปกับมัน และอ้าปากค้างได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในช่วงเวลา 40 นาทีสุดท้ายของหนัง ที่เป็นฉากแอ็คชั่นแพ็คใหญ่จัดต่อกันอย่างไม่ต้องหายใจ
โดยนอกจากฉากแอ็คชั่นที่ผู้กำกับ จัสติน หลิน จะสามารถจัดเต็มให้กับแฟนๆได้อย่างดีเยี่ยม อีกสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าภาคนี้เขาจะทิ้งทวนจริงๆแล้ว คงหนีไม่พ้นการที่เขาได้จับเอาเรื่องราวทั้งหมดไปเชื่อมโยงกับภาค 1 3 4 5 แบบที่เรียกได้ว่า ใครไม่ได้ดูภาคก่อนๆมา และหวังจะมาเอาแต่มันส์ในภาคนี้ คงมีงง และ ไม่อิน กันเป็นบางส่วน คลุกคลีไปกับประเด็นเรื่อง ครอบครัว ที่ในหนังภาคแรกพยายามจะปูบทผ่านครอบครัวของ ดอม โทเร็ตโต้ ที่ผู้กำกับ จัสติน หลิน นำเอามันมาเล่น และ จี้จุด นี้ ให้กลายเป็นความสำคัญอีกครั้งในหนังตระกูลนี้ ผสมกับเหล่าฉากแอ็คชั่นได้อย่างสนุกสนาน และ ไม่น่าเบื่อ ซึ่งอีกสีสันนึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ของภาคนี้ คงหนีไม่พ้นกับด้านนักแสดงอย่าง วิน ดีเซล แอนด์ เดอะ แก๊งค์ ที่รู้สึกได้ว่าผกก. จัสติน หลิน จะดึงเอาเสน่ห์ในตัวละครเหล่านี้ออกมาได้ใช้ได้เต็มประสิทธิภาพมากกว่าทุกครั้งที่ผ่าน
แต่อย่างไรก็ตามนั่น ถ้าหากให้เทียบระหว่างภาค 5 และ 6 ผมยังคิดว่าหนังในตระกูล ฟาสต์ นั่นยังไม่มีภาคไหนสามารถเทียบความสมบูรณ์แบบในภาค 5 ได้นัก อาจจะคงเป็นเพราะในภาค 6 มีบทสนทนาที่เยอะเกินไปกว่าจะจัดเต็มกันได้ แต่ก็อย่าหาว่าอย่างนู้นอย่างงี้เลยครับ เพราะเมื่อภาค 6 จัดเต็มใน 40 นาทีสุดท้ายแล้ว ก็อาจจะทำเอาฉากแอ็คชั่นภาคอื่นๆที่คิดว่าเจ๋ง อายกันไปเลยก็ได้
เรื่องนี้ผมให้ 8/10 ครับ
โดย ลูกอบรสเขียด
ป.ล. หนังจบแล้วอย่าเพิ่งรีบลุก มีฉากหลังเครดิต ซึ่งเป็นฉากที่ทำเอาหลายคนปรบมือ และตะโกนว่า เช้ดดดด แบบเซอร์ไพรส์จริงๆ
The post Fast & Furious 6 : สานต่อการแข่งรถ ที่ โม้ บ้า แต่โคตรอภิมหามันส์ appeared first on Mthai Movie.